อัปเดตเทรนด์ In-store Media ที่แบรนด์ใช้ดึงลูกค้าในปี 2025 ทำไมร้านค้าทั่วโลกกำลังกลับมาให้ความสำคัญกับ “ประสบการณ์ถึงหน้างาน” มากกว่าเดิม?
ตลอดสองสามปีที่ผ่านมา แบรนด์ใหญ่ต้องเจอกับโจทย์ท้าทายในโลกของรีเทลที่เปลี่ยนเร็วกว่าเดิมหลายเท่า ไม่ว่าจะเป็นพฤติกรรมผู้บริโภคที่ก้าวกระโดด, คู่แข่งใหม่ที่เก่งขึ้น, ช่องทางออนไลน์ที่ล้นด้วยโฆษณาจนผู้คนเริ่มเลี่ยง และต้นทุนการทำ Performance Marketing ที่สูงขึ้นอย่างเห็นได้ชัด สิ่งเหล่านี้ทำให้หลายธุรกิจเริ่มหันกลับมาถามคำสำคัญข้อหนึ่งว่า
“แล้วพื้นที่ในร้านของเรา…กำลังถูกใช้คุ้มค่าที่สุดหรือยัง?”
คำถามนี้เองที่ทำให้ In-store Media กลับมามีบทบาทอีกครั้งในปี 2025 แต่ไม่ใช่ในลักษณะแบบเดิมที่เป็นแค่ป้ายตั้ง ป้ายแขวน หรือสติ๊กเกอร์ติดชั้นวางเหมือนเมื่อ 5–10 ปีก่อน เพราะตอนนี้สื่อในร้านกลายเป็น เครื่องมือเชิงกลยุทธ์ ที่แบรนด์ใหญ่ใช้ทั้งเพื่อดึงดูดสายตา, กระตุ้นให้ลูกค้าตัดสินใจเร็วขึ้น และสร้าง “ประสบการณ์” ที่ออนไลน์ทำแทนไม่ได้
บทความนี้จะพาคุณไปรู้จักเทรนด์ In-store Media ล่าสุดที่แบรนด์ระดับโลกกำลังใช้ และแนวทางที่ธุรกิจในไทยสามารถนำไปประยุกต์ใช้ได้ทันทีในปี 2025
In-store Media สำคัญขึ้นเพราะลูกค้าเหนื่อยกับออนไลน์
ก่อนจะเข้าสู่เทรนด์ ลองย้อนกลับไปดูพฤติกรรมคนยุคนี้กันสักนิด ทุกวันนี้ลูกค้าคนหนึ่งเห็นโฆษณาในโลกออนไลน์ไม่ต่ำกว่า 6,000–10,000 ชิ้นต่อวัน ไม่ว่าจะบนมือถือ โซเชียลฯ เว็บไซต์ หรือวิดีโอสั้น ทำให้เกิดสิ่งที่หลายแบรนด์เริ่มรู้จักกันดีในชื่อว่า Ad Fatigue — อาการเหนื่อยล้าจากโฆษณา
เวลาลูกค้าเดินเข้าร้านค้าหรือห้างสรรพสินค้า พวกเขามักต้องการ “พื้นที่หายใจ” และยิ่งไปกว่านั้น พวกเขาต้องการ ประสบการณ์จับต้องได้ ซึ่งเป็นสิ่งที่ออนไลน์ไม่สามารถให้ได้แม้จะมีการทำภาพสวยคลิปดีแค่ไหนก็ตาม
นี่คือสาเหตุที่สื่อโฆษณาภายในร้าน กลายเป็นพื้นที่ทองในการดึงความสนใจแบบไม่ต้องแย่งกับโฆษณาหลายพันชิ้นบนฟีด และกลายเป็นสื่อที่ “มีเจตนาซื้อสูงที่สุด” เพราะลูกค้าที่เดินเข้าร้านคือคนที่พร้อมซื้ออยู่แล้ว
ปี 2025 จึงเป็นปีที่หลายแบรนด์ใหญ่เริ่มมองเห็นว่า ถ้าจัดวางสื่อในร้านให้ดี การขายเพิ่มขึ้นได้ทันทีโดยไม่ต้องควักงบโฆษณาเพิ่มแม้แต่บาทเดียว
เทรนด์ In-store Media ปี 2025 ที่กำลังมาแรงที่สุด
1) Digital Signage ที่กลายเป็น “Personalized Shelf Talker”
ป้ายจอภาพแบบ Digital Signage ไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่ในปี 2025 แบรนด์ระดับโลกเริ่มทำให้มันฉลาดขึ้นไปอีกขั้น จากป้ายวิดีโอธรรมดา กลายเป็นสื่อที่ “รู้จักลูกค้าตรงหน้า”
เทคโนโลยี Sensor หรือการอ่านข้อมูลจากหน้าร้านแบบไม่ระบุตัวตน ช่วยให้จอสามารถปรับเนื้อหาให้ตรงกับกลุ่มลูกค้าที่เดินผ่าน เช่น
– เมื่ออกจากร้านสะดวกซื้อหลังเวลาเลิกงาน จออาจแสดงโปรโมชั่นกาแฟหรือขนมเพิ่มพลัง
– ถ้าเป็นลูกค้าที่เดินเข้ามาเป็นกลุ่มครอบครัว จออาจแสดงสินค้าเด็กที่กำลังลดราคา
ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นโดยอัตโนมัติ ทำให้ Digital Signage ไม่ใช่แค่สื่อโชว์โปรโมชันอีกต่อไป แต่เป็น เครื่องกระตุ้นการซื้อแบบเรียลไทม์
ธุรกิจในไทยเริ่มนำไปใช้ในห้างและร้านสะดวกซื้อ และในปี 2025 เทรนด์นี้จะยิ่งแรงขึ้น เพราะต้นทุนของจอและระบบจัดการคอนเทนต์ถูกลงมากจนแบรนด์ใหญ่สามารถติดตั้งได้ทั่วสาขาโดยไม่ต้องใช้งบมหาศาล
2) Interactive Display ที่ให้ลูกค้าสัมผัสได้จริง
ในยุคที่ผู้บริโภค “อยากทดลอง” มากกว่าการถูกบอกเล่า แบรนด์ระดับโลก เช่น เครื่องใช้ไฟฟ้า, เครื่องสำอาง, โทรศัพท์มือถือ และแม้แต่น้ำหอม เริ่มสร้าง Interactive Zone ให้ลูกค้าทดลองใช้งานได้เต็มรูปแบบ
ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือ
– โซนทดสอบสกินแคร์ที่ให้ลูกค้าลองสแกนใบหน้าเพื่อประเมินผิว
– มุมทดลองกาแฟที่ให้ลูกค้าชงดื่มจริง
– มุมแปลงโฉมเครื่องใช้ไฟฟ้าที่จำลองการใช้งานในบ้าน
สื่อแบบนี้มีพลังมากเพราะลูกค้าได้ มีส่วนร่วมด้วยร่างกาย (Physical Engagement) ซึ่งทำให้เกิดความผูกพันกับสินค้าเร็วกว่าการดูรูปหรือคลิปหลายเท่า
สำหรับแบรนด์ไทย นี่คือโอกาสสำคัญ เพราะคุณสามารถสร้างมุมทดลองสินค้าแบบเล็กๆ ในร้านหรือโชว์รูมได้ โดยใช้เพียงป้ายแนะนำ, วิธีใช้งานที่เข้าใจง่าย และอุปกรณ์ที่จับต้องได้จริง การลงทุนไม่สูง แต่ผลลัพธ์เกินคุ้ม
3) Dynamic Shelf Media — ชั้นวางที่เปลี่ยนเนื้อหาได้เอง
ปี 2025 คือยุคของชั้นวางอัจฉริยะ ไม่ว่าจะเป็น
– ชั้นวางพร้อมจอ LED บริเวณราคาสินค้า
– ป้าย Shelf Strip แบบดิจิทัลที่เปลี่ยนโปรโมชั่นได้อัตโนมัติ
– Tag Digital ที่แสดงสต๊อก, ราคาโปรโมชัน และคำแนะนำแบบเรียลไทม์
สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นเพราะแบรนด์ต้องการอัปเดตข้อมูลสินค้าให้ตรงกันทุกสาขาเร็วขึ้นกว่าเดิม แต่สิ่งที่น่าสนใจยิ่งกว่าคือ Dynamic Shelf Media ทำให้ “จุดขายบนชั้นวาง” น่าสนใจขึ้นแบบไม่ต้องเปลี่ยนป้ายทุกสัปดาห์อีกต่อไป
ลูกค้าหลายคนตัดสินใจซื้อสินค้าภายใน 3–5 วินาทีตอนยืนอยู่หน้า Shelf ดังนั้นการมีแสง ไฟ หรือจอเคลื่อนไหวเล็กๆ กลายเป็นตัวกระตุ้นที่ทำให้สินค้าถูกหยิบขึ้นมาตรวจดูง่ายขึ้นหลายเท่า
4) Retail Media Network — สื่อในร้านที่ขายโฆษณาได้
ห้างและร้านค้ารายใหญ่ทั่วโลก เช่น Walmart, Target, Tesco ต่างพัฒนา Retail Media Network (RMN) หรือระบบขายโฆษณาภายในร้านให้กับแบรนด์ โดยใช้อุปกรณ์ภายในร้าน เช่น จอดิจิทัล, ป้ายโปรโมชั่น, จุดชำระเงิน และ App ของร้านเป็นช่องทางสื่อ
ในปี 2025 แบรนด์ต่างๆ ให้ความสำคัญกับ RMN มากขึ้นเพราะสามารถเจาะกลุ่มลูกค้าที่กำลังจะตัดสินใจซื้อจริง ไม่ใช่แค่กลุ่มคนที่เลื่อนฟีดบนมือถือ
ร้านค้าชั้นนำในไทยเริ่มให้แบรนด์ซื้อพื้นที่โฆษณาในร้านเช่นกัน และเทรนด์นี้กำลังขยายสู่ร้านค้าปลีกประเภทอื่น เช่น ร้านเครื่องใช้ไฟฟ้า ร้านความงาม หรือซูเปอร์มาร์เก็ตท้องถิ่น
ดังนั้น ในปี 2025 หากแบรนด์คุณขายสินค้าผ่านร้านค้าพันธมิตร การซื้อสื่อในร้านอาจให้ผลตอบแทนสูงกว่าการลงโฆษณาออนไลน์หลายเท่า เพราะเป็นสื่อที่คนพร้อมซื้อเห็นแน่นอน ไม่ต้องแย่งพื้นที่กับโฆษณานับพันชิ้นบนโทรศัพท์
5) ป้าย Lightbox และ Visual Impact Media ที่กลับมาแรงกว่าเดิม
ไม่ใช่ทุกเทรนด์จะเป็นดิจิทัลทั้งหมด บางครั้งเทรนด์ก็เดินย้อนกลับมา เพราะผู้บริโภคเริ่มโหยหา “ความจับต้องได้” ป้าย Lightbox, ป้ายไฟ, ป้ายตั้งแบบ Luxury Display จึงกลับมาเป็นที่นิยมอีกครั้ง โดยเฉพาะในกลุ่มสินค้าพรีเมียม เช่น แฟชั่น เครื่องสำอาง นาฬิกา หรืออุปกรณ์ไลฟ์สไตล์
เหตุผลที่สื่อประเภทนี้ยังทรงพลังคือ
– แสงช่วยสร้างโฟกัสได้ดีกว่าสื่อดิจิทัล
– ภาพนิ่งให้ความรู้สึกหรู เหมาะกับแบรนด์ใหญ่
– ให้ Impact กับลูกค้าที่เดินผ่าน โดยไม่ต้องใช้เทคโนโลยีซับซ้อน
แบรนด์ใหญ่จำนวนมากเลือกใช้ Lightbox สำหรับเปิดตัวคอลเลกชันใหม่ หรือในมุมที่ต้องการสร้างภาพจำ เพราะเป็นสื่อที่ “ดูแพง” และยังให้ความรู้สึกเชื่อถือได้มากกว่าสื่อบนมือถือหลายเท่า
6) Experiential Corner — พื้นที่ที่เล่าเรื่องราวของแบรนด์
ในปี 2025 แบรนด์เน้นความหมาย (Meaningful Brand) มากกว่าการขายตรง ตัวร้านจึงถูกออกแบบให้มีพื้นที่ในการเล่าเรื่อง เช่น
– โซนบอกเล่าเบื้องหลังสินค้า
– มุมโชว์การผลิต
– เรื่องราวของทีมดีไซน์
– คุณค่าที่แบรนด์ต้องการสื่อ
สื่อในร้านจึงไม่ได้ทำหน้าที่ “บอกโปรโมชั่น” เพียงอย่างเดียว แต่ต้องช่วยสร้างความผูกพันทางอารมณ์กับแบรนด์ด้วย เช่น ป้ายเนื้อหาแบบ Storytelling, QR ที่พาไปดูเรื่องราว, ภาพถ่ายที่เล่าบรรยากาศของแบรนด์ หรือแม้แต่การจัดแสงและสีในร้านที่ส่งเสริม Mood & Tone
แบรนด์ใหญ่ที่เข้าใจเรื่องนี้มักจะได้เปรียบ เพราะลูกค้ารู้สึกว่า “กำลังเป็นส่วนหนึ่งของเรื่องราว” ไม่ใช่แค่การเลือกซื้อของธรรมดา
กลยุทธ์ที่แบรนด์ใหญ่ใช้เพื่อดึงลูกค้าภายในร้านในปี 2025
เมื่อดูจากหลายเทรนด์ด้านบน เราจะเริ่มเห็นภาพชัดเจนว่าแบรนด์ใหญ่ไม่ได้มอง In-store Media แค่เป็นป้ายสวยๆ อีกต่อไป แต่เป็นเครื่องมือสำหรับเพิ่มยอดขายอย่างจริงจัง โดยมุ่งเน้น 3 สิ่งสำคัญ
1) “หยุดสายตา” ให้ได้ในวินาทีแรก
ไม่ว่าจะเป็นจอดิจิทัล ป้ายไฟ หรือป้ายตั้ง ทุกอย่างมีหน้าที่เดียวคือทำให้ลูกค้าหยุดมองก่อนที่พวกเขาจะเดินผ่านชั้นวางไปใน 1–2 วินาทีแรก สังเกตง่ายๆ ว่าแบรนด์ใหญ่เริ่มทำสื่อให้ “เคลื่อนที่ได้เล็กน้อย” เช่น แสงวิบวับ การเปลี่ยนภาพแบบนุ่มนวล หรือภาพสินค้าขนาดใหญ่ที่โดดเด่น
2) “นำเสนอข้อมูลเฉพาะกิจ” แบบเรียลไทม์
ปี 2025 เป็นยุคที่ร้านมีข้อมูลมากขึ้น ทำให้สื่อโฆษณาภายในร้าน สามารถเปลี่ยนเนื้อหาได้ตามสถานการณ์ เช่น
– ช่วงเย็นแนะนำอาหารพร้อมทาน
– วันที่ฝนตกแนะนำสินค้าสายกันน้ำ
– หากสต๊อกสินค้าใกล้หมดจะปรับข้อความอัตโนมัติ
นี่คือสิ่งที่ออนไลน์ยังไม่สามารถเชื่อมต่อกับสถานการณ์จริงในร้านได้แบบทันทีเท่านี้
3) “ผลักดันให้หยิบสินค้าเร็วขึ้น”
สื่อที่ดีในร้านไม่ใช่แค่สร้างการรับรู้ แต่ต้องทำให้ลูกค้ารู้สึกว่า “สินค้าน่าสนใจพอที่จะหยิบไปดูใกล้ๆ” นี่คือเหตุผลที่แบรนด์ใหญ่ใช้ Shelf Talker, Shelf Media, Tester Zone และป้ายที่อธิบายฟีเจอร์สินค้าง่ายๆ สั้นๆ แต่ชัดเจน
เพราะกฎสำคัญของ In-store Media คือ
ถ้าลูกค้าหยิบไปดู โอกาสซื้อจะเพิ่มขึ้นทันที
การประยุกต์ใช้เทรนด์ In-store Media สำหรับแบรนด์ในไทย
ไม่ว่าคุณจะเป็นแบรนด์ใหญ่ที่มีสาขาทั่วประเทศ หรือเป็นแบรนด์ที่ขายผ่านร้านค้าพันธมิตร บทสรุปสำคัญคือ สื่อในร้านเป็นเครื่องมือที่ใช้ยกระดับยอดขายแบบจับต้องได้ที่สุด และเป็นสิ่งที่แบรนด์ในไทยสามารถเริ่มทำได้ทันทีโดยไม่ต้องรอเทคโนโลยีล้ำๆ
วิธีเริ่มต้นที่เหมาะสำหรับปี 2025 มีดังนี้
– ใช้จุดขายที่มีอยู่ให้คุ้มค่า เช่น มุมชั้นวางที่คนเดินผ่านเยอะ
– อัปเดตป้ายให้มี Storytelling มากขึ้น
– ใช้ Lightbox หรือป้ายไฟในสินค้ากลุ่มพรีเมียม
– ติดตั้งจอดิจิทัลขนาดเล็กบริเวณจุดชำระเงิน
– ทำ QR Code ให้ลูกค้าดูข้อมูลสินค้าเพิ่มเติม
– จัดมุมทดลองสินค้าแบบง่ายๆ เพื่อเพิ่ม Engagement
สิ่งสำคัญคือสื่อทุกชิ้นต้องตอบโจทย์เดียวกัน ได้แก่ ดึงสายตา กระตุ้นความอยาก และเพิ่มโอกาสในการหยิบสินค้า
บทสรุป: ปี 2025 คือปีทองของ In-store Media
เมื่อโฆษณาออนไลน์เริ่มอิ่มตัว ค่าโฆษณาแพงขึ้น และพฤติกรรมผู้บริโภคอยากสัมผัสประสบการณ์จริงมากขึ้น แบรนด์ใหญ่จึงกลับมาให้ความสำคัญกับร้านค้าในฐานะ “เครื่องมือการตลาดที่ทรงพลังที่สุด” อีกครั้ง
In-store Media วันนี้ไม่ใช่ป้ายธรรมดาอีกต่อไป แต่มันคือสื่อที่ช่วยให้ลูกค้ารู้จักสินค้าเร็วขึ้น เชื่อใจแบรนด์มากขึ้น และตัดสินใจได้ไวขึ้น
ปี 2025 จึงไม่ใช่ปีที่แข่งขันกันแค่บนออนไลน์ แต่เป็นปีที่แบรนด์ต้องตอบคำถามสำคัญว่า
“เรากำลังใช้พื้นที่ในร้านให้คุ้มค่าที่สุดแล้วหรือยัง?”
หากคุณวางสื่อในร้านให้ดี แค่ปรับวิธีสื่อสารไม่กี่จุด ก็สามารถเพิ่มยอดขายได้แบบไม่ต้องเพิ่มงบโฆษณาแม้แต่น้อย
สนใจสอบถามรายละเอียดเลย
Print Your Vision with A Print
งานพิมพ์ระดับพรีเมียม คมชัด สีสด ทนทาน ไม่ว่าจะเป็น บรรจุภัณฑ์, ป้ายโฆษณา, นามบัตร, โบรชัวร์ หรือสื่อสิ่งพิมพ์ทุกรูปแบบ เราพร้อมดูแลคุณด้วยบริการที่รวดเร็วและได้มาตรฐาน
📌 สนใจบริการพิมพ์คุณภาพสูงติดต่อ Aprint
📞 ติดต่อเราได้ที่ 02 320 2080
📧 Line : https://line.me/R/ti/p/@499xgedn
💻 ดูรายละเอียดเพิ่มเติมที่ aprint.co.th
#Aprint #พิมพ์ดิจิทัล #พิมพ์บรรจุภัณฑ์ #งานพิมพ์คุณภาพ #ป้ายโฆษณา #DigitalPrint 🚀

