วิธีประเมิน ROI ของแคมเปญ Outdoor / In-Store

In-Store

วิธีประเมิน ROI ของแคมเปญ Outdoor / In-Store มองให้ทะลุ มูลค่าที่แท้จริงของการตลาดในโลกออฟไลน์

ถ้าพูดถึงการวัดผลการตลาด ทุกคนจะนึกถึงแคมเปญออนไลน์เป็นอันดับแรก เพราะทุกอย่าง “คลิกได้ วัดได้ แม่นยำ” แต่เมื่อย้ายสนามมายังการตลาดออฟไลน์ โดยเฉพาะสื่อ Outdoor Advertising และ In-Store Marketing ทุกอย่างกลับดูคลุมเครือไปหมด วัดยอดขายก็ได้ วัดจำนวนคนเข้าเห็นก็มี แต่มันใช่ว่าจะตีค่าออกมาเป็นตัวเลข ROI ได้ง่ายเหมือนออนไลน์

แต่ในยุคที่แบรนด์หันกลับมาให้ความสำคัญกับ “ประสบการณ์จริง” มากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นป้าย Billboard, บูธทดลองสินค้า, Backdrop PVC, Counter Booth หรือแม้แต่ Display หน้าร้าน การวัด ROI ของสื่อเหล่านี้จึงกลายเป็นทักษะสำคัญของนักการตลาดรุ่นใหม่

บทความนี้จะพาคุณเข้าใจแบบ “ทะลุทุกมุม” ตั้งแต่วิธีคิด วิธีเก็บข้อมูล ไปจนถึงวิธีเลี่ยงความผิดพลาดที่ทำให้ตัวเลขคลาดเคลื่อน พร้อมเล่าเคสในชีวิตจริงที่แบรนด์ส่วนใหญ่ประเมินกันผิดทาง และแนะนำเทคนิคการสื่อสารหน้างานที่ช่วยเพิ่ม Conversion แบบตั้งใจไม่ว่าคุณจะใช้งบมากหรือน้อย

Outdoor / In-Store วันนี้ ไม่ใช่สื่อเก่าอีกต่อไป

หากย้อนกลับไปสิบปีก่อน การทำแคมเปญ Outdoor มักถูกมองว่าเป็น “ภาพลักษณ์” หรือ Branding ล้วน ๆ คือทำแล้วก็สวย ทำแล้วก็ใหญ่ แต่ไม่รู้ว่ามันได้ผลจริงไหม

แต่พอมาถึงวันนี้ ทุกอย่างเปลี่ยนไปแบบหน้ามือเป็นหลังมือ เพราะเทคโนโลยีช่วยให้เราวัดผลได้เฉพาะทางมากขึ้น เช่น

  • คนเห็นป้ายจริง ๆ จำนวนเท่าไหร่ (ผ่านระบบตรวจจับ Traffic)
  • ลูกค้าเดินเข้าโซน Display มากขึ้นกี่เปอร์เซ็นต์
  • การสแกน QR ที่หน้าร้านช่วยเพิ่ม Lead ได้มากแค่ไหน
  • ลูกค้าที่ลองสินค้าที่บูธ เปลี่ยนเป็นยอดขายเท่าไหร่
  • การจัดวาง Backdrop, Shelf Talker, Counter Booth มีผลต่อการ “หยุดดู” มากน้อยเพียงใด

การตลาดออฟไลน์จึงไม่ได้มืดมนเหมือนเดิมอีกต่อไป แต่กลายเป็นสนามของการทดลอง การวัดผล และการออกแบบ Customer Experience ที่น่าสนใจที่สุด

ดังนั้นการประเมิน ROI ของแคมเปญประเภทนี้ ไม่ใช่แค่วัดยอดขายหลังจบงาน แต่ต้องมองให้ครบทั้ง Funnel ตั้งแต่ Awareness → Engagement → Experience → Conversion → Loyalty

เข้าใจ “ความคุ้มค่า” ของแคมเปญออฟไลน์แบบรอบด้าน

หลายแบรนด์จะชอบวัด ROI แบบ “ยอดขายอย่างเดียว” แล้วพอยอดขายไม่พุ่งขึ้นแบบในออนไลน์ ก็จะรีบสรุปว่าแคมเปญไม่เวิร์ก ซึ่งเป็นความเข้าใจผิดที่ทำให้แบรนด์มักประเมินค่าของ In-Store และ Outdoor ต่ำกว่าความจริง

ความคุ้มค่าของสื่อประเภทนี้ต้องมองแบบ 3 มิติ

1) มิติด้าน Branding

ป้ายบิลบอร์ดหนึ่งแผ่นอาจไม่ทำให้ลูกค้าวิ่งไปซื้อในทันที
แต่ถ้าลูกค้าเห็นซ้ำ ๆ 3–7 ครั้ง มันคือการฝังภาพจำ ลงลึกในสมองแบบไม่รู้ตัว

2) มิติด้าน Engagement

อย่างการทำบูธทดลองสินค้า หรือการใช้ Counter Booth + Display สวย ๆ หน้าร้าน จะทำให้ลูกค้าหยุดมอง หยุดลอง และยืนอยู่หน้าสินค้านานขึ้น ซึ่งแปลว่ามีโอกาสซื้อสูงขึ้นแบบเป็นธรรมชาติ

3) มิติด้าน Conversion

เมื่อเราเริ่มใส่ระบบเชื่อมต่อออนไลน์ เช่น

  • QR Code รับส่วนลด
  • แบบฟอร์มเก็บ Lead
  • โปรโมชั่นเฉพาะคนที่สแกน
  • การพาไปยัง Landing Page ที่วัดผลได้

ROI ด้านการขายจะเริ่มชัดขึ้นทันที

ดังนั้น Outdoor / In-Store ไม่ได้คุ้มค่าเพียง “ผลลัพธ์ท้ายสุด”
แต่คุ้มค่าจาก “ผลรวมทั้งเส้นทางของลูกค้า”

ทำไมหลายแบรนด์วัดผล ROI ของสื่อออฟไลน์ผิดทาง?

สาเหตุหลัก ๆ ที่ทำให้ ROI ดูต่ำหรือประเมินผิดพลาด คือการเลือกตัวชี้วัดไม่สอดคล้องกับวัตถุประสงค์ของงาน เช่น

  • ทำบิลบอร์ดเพื่อเพิ่ม Awareness แต่กลับไปวัดยอดขาย
  • ทำ Counter Booth เพื่อให้ลูกค้าลองสินค้า แต่กลับไปวัดจำนวน Lead
  • ทำแคมเปญสื่อหน้าร้านเพื่อสร้างการจดจำ แต่กลับไปวัด Conversion อย่างเดียว

ผลคือสื่อดู “ไม่คุ้มค่า” ทั้งที่จริงแล้วเป้าหมายกับการวัดผลไม่ตรงกัน

ตัวอย่างเช่น แบรนด์หนึ่งติดบิลบอร์ดบนถนนใหญ่ 3 เดือน แต่ไปดู ROI จากยอดขายออนไลน์ ซึ่งแน่นอนว่าตัวเลขไม่ได้พุ่งขึ้นทันใจ เพราะบิลบอร์ดเน้น Awareness ที่ค่อย ๆ สะสม ไม่ได้สร้างยอดแบบระเบิดทีเดียว

แต่ในความเป็นจริง ยอด Search คำแบรนด์เพิ่มขึ้นกว่า 60%
ยอดเข้าเว็บเพิ่มขึ้นเกือบ 40% โดยไม่ต้องลงโฆษณาเพิ่ม

นี่คือ “มูลค่าแฝง” ที่หลายแบรนด์มองข้าม ซึ่งจริง ๆ แล้วถือว่าเป็น ROI ที่คุ้มมาก

สิ่งที่ควรเก็บข้อมูลก่อนเริ่มแคมเปญ

การประเมิน ROI ที่ดีเริ่มต้นตั้งแต่ “ก่อนทำ” ไม่ใช่หลังทำแล้วค่อยวัด
สิ่งที่ควรบันทึก ได้แก่

  • ยอดขายก่อนทำแคมเปญ
  • ปริมาณลูกค้าเข้าโซนขาย
  • ปริมาณคนหยุดดู Display
  • จำนวนยอดค้นหาแบรนด์
  • ยอดติดตามโซเชียล
  • Traffic เข้าเว็บ
  • จำนวน Lead เฉลี่ยรายวัน

ข้อมูลพวกนี้คือฐาน (Baseline) ที่เราจะนำไปเปรียบเทียบหลังจบงาน

สูตรการคำนวณ ROI ที่นำไปใช้งานได้จริง

แม้ว่าแคมเปญออฟไลน์จะจับต้องยาก แต่สูตรการคำนวณ ROI ก็ยังใช้งานได้ปกติ ROI=(กำไรที่เพิ่มขึ้นหลังแคมเปญ−ค่าใช้จ่ายทั้งหมด)ค่าใช้จ่ายทั้งหมด×100ROI = \frac{(กำไรที่เพิ่มขึ้นหลังแคมเปญ – ค่าใช้จ่ายทั้งหมด)}{ค่าใช้จ่ายทั้งหมด} \times 100ROI=ค่าใช้จ่ายทั้งหมด(กำไรที่เพิ่มขึ้นหลังแคมเปญ−ค่าใช้จ่ายทั้งหมด)​×100

สิ่งที่ต่างคือ “ต้องรู้ว่าอะไรคือกำไรที่เพิ่มขึ้นจากสื่อออฟไลน์”
ซึ่งอาจไม่ได้เป็นยอดขายอย่างเดียวเสมอไป แต่รวมถึง

  • มูลค่าของ Lead ที่เพิ่มขึ้น
  • ยอดการสมัครสมาชิก
  • จำนวนคนทดลองสินค้า
  • จำนวนคนสแกน QR
  • ค่า Earned Media ที่ได้รับจากคนแชร์รูปหน้าบูธ

หลายแบรนด์ถึงกับตั้ง KPI แบบ “Valuable Engagement” แทนการวัดผลด้วยยอดขายเพียงอย่างเดียว เพราะเข้าใจดีว่าแคมเปญออฟไลน์ทำหน้าที่สร้างประสบการณ์ให้ลูกค้าตัดสินใจซื้อในระยะยาว

Outdoor / In-Store แบบใหม่ = ยิ่งวัดผลได้ ยิ่งคุ้มค่า

การติดป้ายแบบเดิม ๆ กำลังกลายเป็นอดีตไปแล้ว เพราะตอนนี้ทุกอย่างสามารถเชื่อมต่อเข้าระบบออนไลน์ได้ทั้งหมด เช่น

  • QR Code เชื่อมโปรโมชั่น
  • QR Code เชื่อมคอนเทนต์รีวิว
  • ระบบนับจำนวนผู้หยุดมองหน้า Counter Booth
  • กล้องตรวจจับ Traffic ในร้าน
  • Heatmap บันทึกโซนที่ลูกค้ายืนดูนานที่สุด
  • ป้าย Backdrop PVC ที่ออกแบบให้จุดถ่ายรูปเกิดการแชร์บนโซเชียล

ทำให้นักการตลาดสามารถประเมิน ROI ได้แบบทันทีและแม่นยำกว่าเดิมมาก

ตัวอย่างการวัด ROI ของ Outdoor

ลองนึกภาพแคมเปญขนาดใหญ่ของแบรนด์เครื่องดื่มที่ติดบิลบอร์ดตามต่างจังหวัด โดยแนบ QR Code ไว้ด้านล่างเพื่อให้สแกนรับส่วนลดซื้อแบบยกลัง

หลังแคมเปญ 30 วัน

  • ยอดสแกน QR รวม 12,000 ครั้ง
  • 35% ของผู้สแกนซื้อจริง
  • ยอดขายเพิ่มขึ้น 4.7 ล้านบาท
  • ค่าใช้จ่ายบิลบอร์ด 750,000 บาท

เพียงมิติเดียว คือสแกน → ซื้อ → ยอดขาย ก็ถือว่าคุ้มเกินคุ้ม
ยังไม่รวมมูลค่าด้าน Branding, การจดจำ, Search Traffic ที่สูงขึ้นถึง 2 เท่า

ตัวอย่างการวัด ROI ของ In-Store

สมมุติแบรนด์สกินแคร์ออกบูธในห้าง โดยมี

  • Counter Booth
  • Backdrop PVC
  • Shelf Display
  • ป้ายสื่อ QR รับของแถม

เป้าหมายคือให้ลูกค้าลองสินค้า + เก็บ Lead

ผลลัพธ์หลังงาน 7 วัน

  • ลูกค้าเข้ามาลองสินค้า 1,200 คน
  • กรอก Lead 780 คน
  • เปลี่ยนเป็นยอดขายที่หน้างาน 250 คน
  • ยอดขายหลังงาน (จาก Lead) เพิ่มขึ้นอีก 130 ราย

รวม Conversion Rate รวม 31.6%
ตัวเลขระดับนี้ถือว่าคุ้มค่ามากสำหรับการทำ In-Store Activation

เทคนิคเพิ่ม ROI ของแคมเปญ Outdoor / In-Store ให้คุ้มค่าที่สุด

การทำออฟไลน์ให้คุ้มต้องมี “ระบบรองรับ” มากกว่าแค่ติดสื่อให้สวย
นี่คือเทคนิคที่แบรนด์ใหญ่ใช้กันจริง

1) ทำสื่อให้น่าหยุดดูตั้งแต่ 3 วินาทีแรก

ป้ายที่ดีต้องทำให้คนหยุด ไม่ใช่แค่เห็นเฉย ๆ
การออกแบบ Backdrop หรือบูธให้โดดเด่นช่วยได้มาก

2) ใช้ QR Code ที่ให้ของจริง ไม่ใช่แค่พาไปเว็บ

QR ควรแลกกับสิ่งที่ลูกค้ารู้สึกว่า “ได้” เช่น
ส่วนลด ของแถม หรือทดลองใช้ฟรี

3) ทำงานสอดรับทั้งออนไลน์และออฟไลน์

ลูกค้าเห็นป้าย → สนใจ → เข้าเว็บ → ซื้อ
นี่คือเส้นทางที่ต้องจัดให้ลื่นที่สุด

4) ใช้สื่อที่ปรับให้เข้ากับบริบทจริง

เช่น Backdrop PVC ที่เหมาะกับการติดตั้งระยะยาวจนถึงงานรายวัน
หรือ Counter Booth แบบสำเร็จรูปที่ประกอบเร็ว ลดเวลาเซ็ตงาน

5) ให้พนักงานขายเป็นส่วนหนึ่งของประสบการณ์

ROI ของบูธดีขึ้นทันทีถ้าพนักงานเข้าใจบทพูดทดลองสินค้า

แนะนำสินค้าที่ช่วยให้แคมเปญวัดผลได้จริง

ในยุคนี้การทำสื่อแบบ “แขวนไว้เฉย ๆ” ไม่พอแล้ว ต้องเลือกอุปกรณ์ที่รองรับการวัดผลและการดึงดูดลูกค้า เช่น

1) Backdrop PVC เกรดพรีเมียม

เหมาะสำหรับงาน In-Store, Roadshow, จุดถ่ายรูป
ติดตั้งง่าย วัดผลได้ดีเพราะดึงคนเข้ามาหาพื้นที่บูธ

2) Counter Booth แบบพับได้

ช่วยออกบูธได้มืออาชีพ
พื้นที่หน้าเคาน์เตอร์สามารถใส่ QR เพื่อเก็บ Lead หรือพาไป Landing Page

3) Roll Up / X-Stand พร้อมดีไซน์เฉพาะกิจ

สื่อในลักษณะนี้ควรออกแบบเน้น CTA ชัด ๆ เช่น “สแกนรับส่วนลดทันที”

4) ป้ายสื่อ In-Store ที่มาพร้อม QR Tracking

สามารถแทรก UTM เพื่อวัดผลแคมเปญออฟไลน์เชื่อมออนไลน์ได้

ประสบการณ์จริง แบรนด์ที่ทำ Outdoor แล้ว ROI พุ่งแบบไม่คาดคิด

มีแบรนด์เครื่องใช้ไฟฟ้ารายหนึ่งทำโฆษณาป้าย Outdoor พร้อม QR Code เพื่อให้ลูกค้าไปอ่านรีวิวสินค้าบนเว็บไซต์
ผลคือยอดเข้าเว็บช่วงเวลาแคมเปญเพิ่มขึ้นมากกว่า 300%

ที่สำคัญคือ
ลูกค้าที่กดเข้าเพจจาก QR มีอัตราซื้อสูงกว่าช่องทางอื่นถึง 3 เท่า

นักการตลาดถึงกับบอกว่า
“เรานึกว่า Outdoor จะให้ผลลัพธ์เชิง Awareness เท่านั้น แต่กลายเป็นว่า QR ทำให้สื่อออฟไลน์ขายของได้จริง”

นี่คือพลังของการผสานสื่อออนไลน์–ออฟไลน์แบบถูกวิธี

สิ่งที่ควรระวัง ถ้าอยากให้ ROI ออกมาชัดมากที่สุด

การวัดผลจะผิดเพี้ยนทันที ถ้าเกิดข้อผิดพลาดเหล่านี้

  • วัดจาก KPI ที่ไม่ตรงกับวัตถุประสงค์
  • ไม่เก็บข้อมูลก่อนทำแคมเปญ
  • เปรียบเทียบข้อมูลข้ามพื้นที่ (ซึ่งพฤติกรรมลูกค้าต่างกัน)
  • ไม่ทำ QR ที่ ”จูงใจพอ”
  • ออกแบบป้ายหรือบูธที่ไม่มีจุดหยุดดู
  • วัดผลเร็วเกินไป (บางแคมเปญต้องกินเวลา 30–90 วัน)

การแก้ไขทั้งหมดคือ “การตั้งระบบวัดผลตั้งแต่ก่อนเริ่มแคมเปญ”

สรุป: Outdoor / In-Store ยังคุ้มค่าอยู่ไหม?

คำตอบคือ “คุ้มมาก และคุ้มกว่าเดิมด้วยซ้ำ”
ถ้าคุณมีระบบวัดผลที่ถูกต้อง และออกแบบประสบการณ์ให้ลูกค้าหยุดดู → สนใจ → ลอง → ซื้อ

สื่อออฟไลน์ยุคใหม่ไม่ได้เป็นสื่อ Branding ลอย ๆ อีกต่อไป
แต่เป็นสื่อที่ทำหน้าที่ “เชื่อมต่อ” ลูกค้าจากโลกจริงสู่ออนไลน์ได้ดีที่สุด

และด้วยเครื่องมืออย่าง
Backdrop PVC, Counter Booth, Roll Up พร้อม QR, Shelf Display
ทั้งหมดนี้คืออุปกรณ์ที่ช่วยให้การวัด ROI ทำได้จริงและคุ้มค่าที่สุดในระยะยาว

ถ้าต้องการแคมเปญที่วัดผลได้แบบครบวงจร อย่ามอง Outdoor / In-Store เป็นค่าใช้จ่าย แต่ให้มองเป็น “การลงทุนระยะยาว” ที่สร้างทั้งยอดขาย ความจดจำ และประสบการณ์ที่ตราตรึงใจลูกค้า

สนใจสอบถามรายละเอียดเลย

Print Your Vision with A Print
งานพิมพ์ระดับพรีเมียม คมชัด สีสด ทนทาน ไม่ว่าจะเป็น บรรจุภัณฑ์, ป้ายโฆษณา, นามบัตร, โบรชัวร์ หรือสื่อสิ่งพิมพ์ทุกรูปแบบ เราพร้อมดูแลคุณด้วยบริการที่รวดเร็วและได้มาตรฐาน

📌 สนใจบริการพิมพ์คุณภาพสูงติดต่อ Aprint
📞 ติดต่อเราได้ที่ 02 320 2080
📧 Line : https://line.me/R/ti/p/@499xgedn
💻 ดูรายละเอียดเพิ่มเติมที่ aprint.co.th

#Aprint #พิมพ์ดิจิทัล #พิมพ์บรรจุภัณฑ์ #งานพิมพ์คุณภาพ #ป้ายโฆษณา #DigitalPrint 🚀

Share the Post: