ยอดขายพุ่ง 30% ใน 1 เดือน” เผยเคล็ดลับความสำเร็จจากการใช้สื่อในร้าน
เคยสังเกตมั้ย เวลาที่เราไปเดินห้าง ก็มักจะเจอกับป้ายโฆษณา ยิ่งในซุปเปอร์ ยิ่งพบบ่อย แล้วในโลกปัจจุบันนี้ การแข่งขับประเภทนี้เป็นการแข่งขันทางการตลาดที่เข้มข้นมาก การดึงดูดลูกค้าให้เข้ามาและกระตุ้นการตัดสินใจซื้อ ณ จุดขายถือเป็นหัวใจสำคัญที่จะชี้เป็นชี้ตายว่าธุรกิจจะไปรอดหรือไม่ แต่ในขณะที่หลายแบรนด์ทุ่มงบประมาณไปกับการตลาดออนไลน์อย่างมหาศาล กลับมีอีกหนึ่งกลยุทธ์ที่ทรงพลังอย่างยิ่งซึ่งหลายคนอาจมองข้ามไป นั่นคือการใช้ “สื่อในร้าน” (In-store Media) อย่างชาญฉลาด
วันนี้เราได้รวบรวมแบบเจาะลึกเลยว่าสื่อหน้าร้านนั้นคืออะไร แล้วมีอิทธิพลมากถึงขนาดที่การแข่งขันที่ดุเดือดไม่ว่าจะเป็นประเทศไหนในโลกก็ตาม
ทำความเข้าใจก่อน ทำไมสื่อในร้านถึงมีพลังในการเพิ่มยอดขาย
ยุคนี้ลูกค้านั้นสามารถเทียบราคาสินค้าได้แบบออนไลน์ และรวดเร็ว ดังนั้นแบรนด์ต่างๆ ที่มีหน้าร้านก็ต้องทำยังไงก็ได้ให้ลูกค้าสนใจสินค้าของตัวเองมากที่สุด นั้นแหละทำให้เกิดสื่อหน้าร้านนั้นเอง เพราะลุกค้าตอนนี้นั้นไม่ได้เลือกสินค้าจากความต้องการเพียงอย่างเดียว แต่ยังขึ้นอยู่กับ “ประสบการณ์” และ “อารมณ์” ที่ลูกค้าได้รับภายในร้านอีกด้วย และเหตุผลนี้เอง สื่อหน้าร้านถึงสำคัญ ไม่ใช่เพียงให้ข้อมูล แต่ยังต้องเป็นเครื่องมือที่คำคัญในการเลือกซื้อของลูกค้าอีกด้วย
สื่อที่ดีนั้นจะต้องทำได้หลากหลายรูปแบบ อาทิเช่น
- ดึงดูดสายตา: สื่อที่ออกแบบมาอย่างโดดเด่นจะช่วยให้ลูกค้าหันมามองและอยากเข้ามาใกล้
- สร้างบรรยากาศ: แสง, สี, และเสียงจะช่วยสร้างบรรยากาศที่น่าสนใจและทำให้ลูกค้าอยากใช้เวลาในร้านนานขึ้น
- กระตุ้นการซื้อ: การนำเสนอข้อมูลสินค้าที่เหมาะสมในเวลาที่เหมาะสมจะช่วยกระตุ้นการตัดสินใจซื้อได้อย่างมีประสิทธิภาพ
กรณีศึกษา: เปลี่ยนร้านธรรมดาให้กลายเป็น ‘แม่เหล็กดึงดูดลูกค้า’
ร้านค้าแห่งหนึ่งประสบปัญหาเรื่องยอดขายที่ทรงตัว แม้จะมีการทำโฆษณาออนไลน์อย่างต่อเนื่อง แต่ยอดขายในร้านก็ยังไม่เพิ่มขึ้นเท่าที่ควร หลังจากที่ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้าน In-store Media ก็ได้มีการนำกลยุทธ์การใช้สื่อในร้านมาปรับใช้ และผลลัพธ์ที่ได้ก็น่าทึ่งอย่างไม่น่าเชื่อ
กลยุทธ์ที่ 1: เปลี่ยนหน้าร้านให้น่าดึงดูด
ก่อนการปรับปรุง หน้าร้านของธุรกิจแห่งนี้ดูเรียบง่ายและไม่ดึงดูดสายตาเท่าที่ควร ทีมงานจึงตัดสินใจใช้ Digital Signage หรือจอแสดงผลดิจิทัลขนาดใหญ่มาติดตั้งที่หน้าประตูร้าน และเปลี่ยนเนื้อหาที่แสดงผลในแต่ละวัน
- ก่อนเปิดร้าน: แสดงวิดีโอสั้นๆ ที่น่าสนใจเกี่ยวกับเรื่องราวของแบรนด์
- ช่วงกลางวัน: แสดงโปรโมชั่นพิเศษประจำวันและสินค้าขายดี
- ช่วงเย็น: แสดงข้อความที่เชิญชวนให้ลูกค้าเข้ามาใช้บริการก่อนร้านปิด
ผลลัพธ์: การใช้ Digital Signage ช่วยดึงดูดลูกค้าที่เดินผ่านไปมาให้หันมาสนใจและตัดสินใจเข้ามาในร้านมากขึ้น โดยเฉพาะในช่วงเวลาที่ร้านกำลังจะปิด ยอดขายในช่วงเย็นก็เพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
กลยุทธ์ที่ 2: ใช้สื่อในร้านสร้างปฏิสัมพันธ์
เมื่อลูกค้าเข้ามาในร้านแล้ว การจะทำให้พวกเขารู้สึกประทับใจและอยากซื้อสินค้า ทีมงานจึงนำ Interactive Kiosk หรือตู้คีออสอัจฉริยะเข้ามาติดตั้
- การให้ข้อมูลสินค้า: ลูกค้าสามารถใช้ตู้คีออสเพื่อค้นหาสินค้า, ตรวจสอบสต็อก, หรือดูรายละเอียดสินค้าเพิ่มเติมได้อย่างง่ายดาย
- การเล่นเกม: ทีมงานได้สร้างเกมง่ายๆ ที่ลูกค้าสามารถเล่นได้บนตู้คีออสเพื่อรับส่วนลดหรือคูปองสำหรับใช้ในร้าน ซึ่งทำให้ลูกค้าสนุกสนานและอยากซื้อสินค้ามากขึ้น
- การเก็บข้อมูล: ตู้คีออสยังช่วยเก็บข้อมูลพฤติกรรมของลูกค้าในร้าน ซึ่งเป็นข้อมูลที่มีค่าในการนำไปปรับปรุงการจัดวางสินค้าและการตลาดในอนาคต
ผลลัพธ์: การใช้ Interactive Kiosk ช่วยเพิ่ม Engagement ของลูกค้าในร้าน ทำให้ลูกค้าใช้เวลาในร้านนานขึ้นและซื้อสินค้าโดยไม่ได้ตั้งใจ (Impulse Buying) มากขึ้น
กลยุทธ์ที่ 3: ใช้สื่อเสียงและแสงสร้างบรรยากาศ
นอกจากสื่อที่มองเห็นได้แล้ว ทีมงานยังได้นำสื่อเสียงและแสงเข้ามาใช้เพื่อสร้างบรรยากาศที่สมบูรณ์แบบให้กับร้านค้า
- เสียง: ทีมงานได้สร้าง Curated Playlist หรือเพลย์ลิสต์เพลงเฉพาะของแบรนด์ ซึ่งเพลงที่เลือกมาจะสอดคล้องกับภาพลักษณ์ของแบรนด์และช่วยให้ลูกค้าที่กำลังช้อปปิ้งรู้สึกผ่อนคลายและสนุกสนาน
- แสง: มีการติดตั้งไฟส่องสว่างที่ช่วยเน้นสินค้าที่ต้องการโปรโมทหรือสินค้าออกใหม่ ทำให้สินค้าเหล่านั้นดูโดดเด่นและน่าสนใจยิ่งขึ้น
ผลลัพธ์: การใช้เสียงและแสงอย่างชาญฉลาดช่วยสร้างบรรยากาศที่น่าประทับใจให้กับร้านค้า ทำให้ลูกค้ารู้สึกผ่อนคลายและมีแนวโน้มที่จะใช้เวลาในร้านนานขึ้น ซึ่งนำไปสู่การซื้อที่เพิ่มขึ้นในที่สุด
กลยุทธ์ที่ 4: เชื่อมโยงโลกออนไลน์และออฟไลน์
ทีมงานเข้าใจว่าการตลาดในยุคนี้ต้องเชื่อมต่อโลกออนไลน์และออฟไลน์เข้าด้วยกันอย่างราบรื่น จึงได้นำ QR Code มาใช้บนสื่อต่างๆ ในร้าน
- QR Code สำหรับข้อมูลสินค้า: ติด QR Code ไว้บนชั้นวางสินค้าเพื่อให้ลูกค้าสามารถสแกนเพื่ออ่านรายละเอียดสินค้าเพิ่มเติม, ดูรีวิวจากลูกค้าคนอื่น, หรือดูวิดีโอสาธิตการใช้งาน
- QR Code สำหรับโปรโมชั่น: สร้าง QR Code พิเศษสำหรับลูกค้าที่เข้ามาในร้านเพื่อรับโปรโมชั่นพิเศษเฉพาะที่ร้านเท่านั้น ซึ่งเป็นการกระตุ้นให้ลูกค้าอยากมาที่ร้านมากขึ้น
ผลลัพธ์: การใช้ QR Code ช่วยเชื่อมโยงลูกค้าจากโลกออฟไลน์ไปยังโลกออนไลน์ ทำให้ลูกค้าสามารถเข้าถึงข้อมูลที่ต้องการได้อย่างรวดเร็วและเป็นเครื่องมือในการเก็บข้อมูลพฤติกรรมลูกค้าที่มีประสิทธิภาพ
สรุป: การลงทุนที่ชาญฉลาดคือการลงทุนใน ‘ประสบการณ์’
จากกรณีศึกษาที่กล่าวมาทั้งหมดจะเห็นได้ว่า การเพิ่มยอดขายให้เติบโตอย่างก้าวกระโดดไม่ได้ขึ้นอยู่กับการทุ่มงบประมาณไปกับโฆษณาออนไลน์เพียงอย่างเดียว แต่ยังรวมถึงการใช้ In-store Media อย่างชาญฉลาดเพื่อสร้างประสบการณ์ที่น่าประทับใจให้กับลูกค้าในร้านค้าจริง
เคล็ดลับสู่ความสำเร็จ
- ลงทุนใน Digital Signage: เปลี่ยนหน้าร้านที่ดูธรรมดาให้เป็นจุดดึงดูดสายตา
- สร้างปฏิสัมพันธ์: ใช้สื่อที่สามารถโต้ตอบกับลูกค้าได้เพื่อสร้างความสนุกสนานและเพิ่ม Engagement
- ใส่ใจในบรรยากาศ: ใช้เสียงและแสงเพื่อสร้างบรรยากาศที่สอดคล้องกับแบรนด์
- เชื่อมโยงโลกออนไลน์-ออฟไลน์: ใช้ QR Code หรือสื่ออื่นๆ เพื่อเชื่อมโยงลูกค้าจากโลกออฟไลน์ไปยังโลกออนไลน์
การลงทุนใน In-store Media จึงไม่ใช่แค่การซื้ออุปกรณ์ราคาแพง แต่เป็นการลงทุนใน ประสบการณ์ ที่ลูกค้าจะได้รับ ซึ่งเป็นสิ่งที่มีค่าที่สุดในการสร้างความผูกพันกับลูกค้าในระยะยาว และจะช่วยให้ธุรกิจของคุณเติบโตได้อย่างยั่งยืนในยุคดิจิทัลนี้อย่างแน่นอน
สนใจสอบถามรายละเอียดเลย
Print Your Vision with A Print
งานพิมพ์ระดับพรีเมียม คมชัด สีสด ทนทาน ไม่ว่าจะเป็น บรรจุภัณฑ์, ป้ายโฆษณา, นามบัตร, โบรชัวร์ หรือสื่อสิ่งพิมพ์ทุกรูปแบบ เราพร้อมดูแลคุณด้วยบริการที่รวดเร็วและได้มาตรฐาน
📌 สนใจบริการพิมพ์คุณภาพสูงติดต่อ Aprint
📞 ติดต่อเราได้ที่ 02 320 2080
📧 Line : https://line.me/R/ti/p/@499xgedn
💻 ดูรายละเอียดเพิ่มเติมที่ aprint.co.th
#Aprint #พิมพ์ดิจิทัล #พิมพ์บรรจุภัณฑ์ #งานพิมพ์คุณภาพ #ป้ายโฆษณา #DigitalPrint 🚀