ตำแหน่งทองของ ชั้นวางสินค้า ในห้าง Eye Level และ Hot Zone คืออะไร?

ป้ายวางสินค้า

ถ้าคุณเดินเข้าห้างสรรพสินค้าแล้วรู้สึกว่าตัวเอง “เผลอหยิบของบางอย่าง” โดยที่ตอนแรกไม่ได้ตั้งใจ นั่นไม่ใช่เรื่องบังเอิญเลย แต่เป็นผลลัพธ์จากศาสตร์ด้านการจัดสินค้า การวางสินค้า และตำแหน่งของ ชั้นวางสินค้า ที่ถูกออกแบบมาอย่างดีเพื่อกระตุ้นการตัดสินใจซื้อให้เกิดขึ้นภายในไม่กี่วินาที

หลายคนอาจคิดว่าการจัดสินค้าบนชั้นวางเป็นเรื่องง่าย แค่เรียงของให้สวยก็จบ แต่ในความเป็นจริงแล้ว ตำแหน่งบนชั้นวางสินค้า คือหนึ่งในเครื่องมือทำเงินที่ทรงพลังที่สุดของธุรกิจค้าปลีก โดยเฉพาะตำแหน่งที่เรียกว่า Eye Level และ Hot Zone ที่ถูกยกให้เป็น “ตำแหน่งทอง” ของการขายสินค้าในทุกประเภท ไม่ว่าจะเป็นซูเปอร์มาร์เก็ต ร้านสะดวกซื้อ ร้านเครื่องสำอาง ไปจนถึงร้านเฟอร์นิเจอร์หรือโชว์รูมสินค้าไลฟ์สไตล์ต่าง ๆ

บทความนี้จะพาคุณเข้าใจตั้งแต่พื้นฐานว่าตำแหน่งเหล่านี้คืออะไร ทำไมมันถึงสำคัญ และแบรนด์ต่าง ๆ ใช้มันเพื่อเพิ่มยอดขายได้อย่างไร พร้อมวิธีนำไปประยุกต์ใช้ถ้าคุณเป็นเจ้าของร้านหรือธุรกิจที่ต้องพึ่งพา ชั้นวางสินค้า เป็นตัวสร้างยอดขาย

ทำไม “ตำแหน่งบนชั้นวางสินค้า” ถึงสำคัญขนาดนั้น?

ลองนึกภาพตอนคุณเดินเข้า 7-11 แล้วพบว่าขนมยี่ห้อที่คุณชอบอยู่ในระดับสายตาพอดี ไม่ต้องก้ม ไม่ต้องเอื้อม นั่นแปลว่าคุณถูกดึงความสนใจตั้งแต่ก้าวแรกที่เดินผ่านมาแล้ว

มนุษย์ส่วนใหญ่เลือกสินค้าโดยไม่คิดนาน เฉลี่ยเพียง 3–7 วินาที ก่อนตัดสินใจหยิบ และกว่า 70% ของสินค้าที่ถูกหยิบขึ้นมาเป็น “สินค้าที่อยู่ในตำแหน่งที่เห็นก่อน” ไม่จำเป็นต้องเป็นสินค้าที่ตั้งใจจะซื้อ

นี่คือเหตุผลที่ห้างและร้านค้าขนาดใหญ่ลงทุนกับการออกแบบชั้นวางสินค้าอย่างจริงจัง หนึ่งตำแหน่งที่ดีสามารถทำให้ยอดขาย “เพิ่มขึ้นหลายสิบเปอร์เซ็นต์” แบบไม่ต้องโฆษณาเพิ่มเลยด้วยซ้ำ

และนั่นคือจุดเริ่มต้นของคำว่า EYE LEVEL และ HOT ZONE ที่เรากำลังจะพูดถึงกันต่อไปนี้

Eye Level คืออะไร? (ตำแหน่งทองที่ทำเงินที่สุดในชั้นวางสินค้า)

คำว่า Eye Level = ระดับสายตา คือพื้นที่บนชั้นวางสินค้าที่อยู่พอดีกับระดับสายตาของลูกค้าเฉลี่ย ซึ่งมักอยู่ประมาณ 120–150 ซม. จากพื้น ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับกลุ่มลูกค้า เช่น เด็ก ผู้ใหญ่ หรือผู้หญิง-ผู้ชาย

ตำแหน่งนี้ถูกเรียกว่า “ตำแหน่งทำเงิน” มานาน เพราะมันคือจุดที่ลูกค้าเห็นสินค้าได้ทันทีแบบไม่ต้องก้ม ไม่ต้องเงย และไม่ต้องก้าวถอยออกเพื่อมอง

พูดง่าย ๆ คือ ใครได้อยู่ Eye Level = โอกาสขายสูงที่สุด

ทำไม Eye Level ถึงทำงานได้ดี?

เพราะมนุษย์มองเห็นก่อนคิดเสมอ
สายตาคือจุดเริ่มต้นของการตัดสินใจซื้อ และสมองจะประมวลผลภาพที่อยู่ระดับสายตาได้เร็วที่สุด
ในร้านค้าที่มีสินค้ามากมาย สินค้าบน Eye Level จึง “ถูกสมองเลือกโดยไม่รู้ตัว”

ตัวอย่างจริงในห้าง

  • นมกล่องหลายยี่ห้อแย่งชิง Eye Level เพราะเป็นสินค้าที่ลูกค้าตัดสินใจเร็ว
  • ขนมเด็กหรือซีเรียลสำหรับเด็ก มักวาง Eye Level เด็ก (ต่ำกว่า) เพื่อกระตุ้นการ “ดึง” ของลูก
  • เครื่องสำอางแบรนด์ใหญ่ในบิวตี้สโตร์ มักจ่ายเงินเพื่อได้ Eye Level ภายในชั้นวางสินค้า เพราะมันแทบจะการันตียอดขายที่เพิ่มขึ้นทันที

Hot Zone คืออะไร? (พื้นที่ที่ลูกค้าหยุดมองก่อนหยิบ)

ถ้า Eye Level คือระดับสายตา “พื้นที่แนวนอน” ที่ลูกค้าต้องเดินผ่านก่อนหยิบสินค้า เรียกว่า Hot Zone หรือ “โซนร้อน” ซึ่งหมายถึงจุดที่ลูกค้าหยุดดู หยุดค้นหา และหยุดเลือกสินค้าเป็นพิเศษ

Hot Zone = จุดที่เสี่ยงต่อการควักเงินมากที่สุด

โดยทั่วไป Hot Zone มักเป็น

  • พื้นที่ที่ลูกค้าต้องเดินผ่านเสมอ เช่น ทางเข้าซูเปอร์
  • ตำแหน่งต้นแถวของชั้นวางที่คนหยุดดูบ่อย
  • จุดที่ไฟส่องลงโดยเฉพาะ
  • โซนสินค้าที่มีแบรนด์เยอะ ทำให้ลูกค้าหยุดเปรียบเทียบ

Hot Zone จึงไม่ใช่เพียงตำแหน่งหนึ่งจุด แต่เป็น “พฤติกรรม” ของลูกค้า ที่ร้านค้าต้องวางแผนให้พื้นที่นี้มองเห็นสินค้าได้ง่ายที่สุ

Eye Level vs Hot Zone ต่างกันยังไง?

  • Eye Level คือระดับความสูง
  • Hot Zone คือระดับพื้นที่แนวนอนที่ลูกค้าหยุดมอง

สินค้าอาจอยู่ใน Eye Level แต่ไม่อยู่ใน Hot Zone
หรือบางครั้งอยู่ใน Hot Zone แต่ไม่ได้อยู่ระดับสายตา
แต่ถ้าสินค้าได้ทั้งสองอย่างพร้อมกัน นั่นคือ “ตำแหน่งทองที่สุด” ของชั้นวางสินค้า

เคล็ดลับที่แบรนด์ดังใช้: ทำไมต้องแย่งชิงตำแหน่ง Eye Level และ Hot Zone

แบรนด์ใหญ่ทั่วโลกลงทุนหลายร้อยล้านบาทต่อปี เพื่อให้สินค้าของตัวเองได้อยู่ตำแหน่งเหล่านี้ เพราะมันทำให้ “ยอดขายเพิ่มแบบไม่ต้องโฆษณาเพิ่มแม้แต่บาทเดียว”

เหตุผลอย่างหนึ่งคือ “จิตวิทยาการซื้อของมนุษย์” ที่มักจะเลือกสินค้า “ที่เห็นง่ายที่สุด” ไม่ใช่ “ที่ดีที่สุด”

ลักษณะสินค้าที่ชอบวางในตำแหน่งทอง ได้แก่

  • สินค้าใหม่ที่ต้องการผลักดัน
  • สินค้าที่มีมาร์จิ้นสูง
  • สินค้าแบรนด์ใหญ่ที่ต้องการความเด่น
  • สินค้าที่ต้องการแข่งกับคู่แข่งโดยตรง

ยกตัวอย่างง่าย ๆ เช่น แชมพูสองยี่ห้อที่อยู่ระดับเท่ากันแต่คนหนึ่งวาง Eye Level หรือมีไฟส่องเฉพาะแบรนด์ ยอดขายก็มักพุ่งขึ้นทันที

มุมลึกของชั้นวางสินค้า: พื้นที่ที่คนมองข้าม แต่ทำยอดขายได้ไม่น้อย

ไม่ใช่แค่ Eye Level กับ Hot Zone ที่สำคัญ
พื้นที่อื่น ๆ บนชั้นวางสินค้าก็มีบทบาทต่างกัน เช่น

1. Top Shelf (ชั้นบนสุด)

ใช้สำหรับสินค้าพรีเมียม หรือสินค้าที่ต้องการภาพลักษณ์เฉพาะ
ลูกค้าต้องเงยขึ้น การหยิบอาจลำบาก แต่ทำให้สินค้าดูมีระดับ

2. Bottom Shelf (ชั้นล่างสุด)

เหมาะกับสินค้าขนาดใหญ่ เช่น ถุงข้าว ถุงอาหารสัตว์ หรือสินค้าราคาประหยัด
เป็นจุดที่ลูกค้าไม่ได้เลือกตามแรงดึงดูดสายตา แต่เลือกเพราะราคา

3. Middle Shelf (ชั้นกลาง)

คือ Eye Level ที่ดีที่สุดสำหรับการขาย

4. Checkout Shelf (ใกล้แคชเชียร์)

เป็นจุดขายสินค้า “ขนาดเล็ก ตัดสินใจเร็ว” เช่น ลูกอม ถุงขนม
หรือที่เรียกกันขำ ๆ ว่า “จุดหลอกเด็กและผู้ใหญ่”

แล้วร้านขนาดเล็ก ร้านโชว์รูม หรือร้านออนไลน์ใช้หลักเดียวกันได้ไหม?

ได้ 100% เพราะหลักการมาจาก “พฤติกรรมมนุษย์” ไม่ใช่ห้าง

ถ้าคุณมีหน้าร้านหรือโชว์รูมของตัวเอง ตำแหน่งของชั้นวางสินค้าคือสิ่งที่ต้องให้ความสำคัญเช่นกัน เช่น

  • วางสินค้าทำกำไรในระดับสายตา
  • วางสินค้าที่อยากผลักดันในตำแหน่งทางผ่าน
  • เพิ่มไฟเฉพาะจุดให้ Hot Zone เด่นยิ่งขึ้น
  • จัดให้สินค้าที่ต้องขายออกเร็วอยู่ในตำแหน่งที่หยิบง่ายที่สุด

แม้แต่ร้านออนไลน์ก็ยังใช้หลักนี้ในรูปแบบต่างกัน เช่น “ตำแหน่งรูปสินค้าแนะนำ” หรือ “แถบสินค้าโปรโมท” ซึ่งเหมือน Eye Level ในโลกดิจิทัล

ทำไมการออกแบบชั้นวางสินค้า “เฉพาะทาง” จึงสำคัญกว่าที่คิด?

หลายร้านใช้ชั้นวางตัวเดียวแล้ววางสินค้าทุกอย่างผสมกัน แต่นั่นเป็นการพลาดโอกาสครั้งใหญ่ เพราะชั้นวางสินค้าไม่ได้มีหน้าที่แค่ “รองสินค้า”
แต่ต้องออกแบบเพื่อสนับสนุนยอดขาย เช่น

  • ความสูงของชั้นต้องเหมาะกับกลุ่มลูกค้า
  • ความลึกของชั้นต้องสอดคล้องกับสินค้าประเภทนั้น
  • แสงไฟต้องส่องสินค้าในตำแหน่ง Hot Zone ให้โดดเด่น
  • ชั้นวางต้องสามารถจัดเป็น Eye Level ได้หลายระดับ หากมีหลายกลุ่มลูกค้า

นี่คือเหตุผลที่ห้างสรรพสินค้าหลายแห่งเลือกใช้ชั้นวางที่ออกแบบพิเศษ ไม่ว่าจะเป็น

  • ชั้นวางสินค้าแบบ Gondola
  • ชั้นวางสินค้าแบบ Endcap (หัวชั้น)
  • ชั้นวางสินค้าแบบ Wall Shelf
  • ชั้นวางสินค้าแบบโปรโมชัน

เพราะชั้นวางแต่ละแบบช่วยดึงความสนใจของลูกค้าได้ต่างกัน

ตัวอย่างการใช้งานจริง: หากคุณเป็นเจ้าของร้านควรจัดชั้นวางสินค้าแบบไหนดี?

ลองดูสถานการณ์จริงที่พบได้บ่อย

1. ร้านเครื่องสำอาง

สินค้าใหม่ควรวาง Eye Level
สินค้าทดลองวาง Hot Zone ใกล้ไฟเฉพาะจุด
สินค้าพรีเมียมอาจอยู่ชั้นบนเพื่อเพิ่มภาพลักษณ์

2. ร้านของใช้ในบ้าน

สินค้าใช้ประจำ → วางระดับกลาง–ล่าง
สินค้าใหม่หรือสินค้าทำกำไร → Eye Level
สินค้าใหญ่ เช่น ถังน้ำ ถังผงซักฟอก → Bottom Shelf

3. ร้านค้าปลีกทั่วไป

สินค้าขายดีควรวางระดับกลาง
โปรโมชั่นวาง Hot Zone ต้นชั้น
สินค้าเด็ก เช่น ขนมเด็ก → Eye Level เด็ก (ต่ำ)

วิธีใช้ Eye Level และ Hot Zone เพื่อเพิ่มยอดขายแบบไม่ต้องเพิ่มต้นทุน

แม้ไม่มีงบโฆษณาเพิ่ม คุณก็ใช้ชั้นวางสินค้าให้ทำงานแทนได้ เช่น…

ลองย้ายสินค้า 2–3 รายการที่อยากดันยอดไปอยู่ Eye Level
เพียงเท่านี้ยอดขายจะกระตุกขึ้นทันทีในหลายร้าน

ลองสลับสินค้าราคาสูงไปวางใน Hot Zone
ลูกค้าจะมองเห็นมันมากขึ้นทันที

เพิ่มไฟ LED ใน Hot Zone
ร้านค้าสมัยใหม่ทำกันเยอะ เพราะไฟช่วยเปลี่ยนพฤติกรรมลูกค้าได้จริง

สรุป: ชั้นวางสินค้าคือเครื่องมือทำเงิน — ถ้าคุณรู้วิธีใช้มัน

ตำแหน่ง Eye Level และ Hot Zone ไม่ใช่แค่ทฤษฎีของคนจัดชั้น แต่คือ “จุดยุทธศาสตร์” ที่ร้านค้าใช้เพื่อสร้างยอดขายแบบเงียบ ๆ
โดยไม่ต้องเพิ่มงบโฆษณาแม้แต่บาทเดียว

สรุปแบบเข้าใจง่าย:

  • Eye Level = ระดับสายตา → จุดที่ขายดีที่สุด
  • Hot Zone = จุดที่ลูกค้าหยุดมอง → โอกาสการหยิบสูงที่สุด
  • การจัดชั้นวางสินค้าดี = ทำให้ร้านขายของได้มากขึ้นแบบไม่ต้องเหนื่อยเพิ่ม

ดังนั้นหากคุณเป็นเจ้าของร้าน จัดชั้นวางอยู่เสมอ หรือกำลังจะเปิดร้านใหม่ อยากให้ลองกลับไปดูชั้นวางสินค้าในร้านของคุณอีกครั้ง อาจมี “พื้นที่ทอง” ที่คุณยังไม่เคยใช้ให้เต็มประสิทธิภาพ

เพราะในโลกค้าปลีก ทุกเซนติเมตรของชั้นวางสินค้า = รายได้ที่เพิ่มขึ้นเสมอ

สนใจสอบถามรายละเอียดเลย

Print Your Vision with A Print
งานพิมพ์ระดับพรีเมียม คมชัด สีสด ทนทาน ไม่ว่าจะเป็น บรรจุภัณฑ์, ป้ายโฆษณา, นามบัตร, โบรชัวร์ หรือสื่อสิ่งพิมพ์ทุกรูปแบบ เราพร้อมดูแลคุณด้วยบริการที่รวดเร็วและได้มาตรฐาน

📌 สนใจบริการพิมพ์คุณภาพสูงติดต่อ Aprint
📞 ติดต่อเราได้ที่ 02 320 2080
📧 Line : https://line.me/R/ti/p/@499xgedn
💻 ดูรายละเอียดเพิ่มเติมที่ aprint.co.th

#Aprint #พิมพ์ดิจิทัล #พิมพ์บรรจุภัณฑ์ #งานพิมพ์คุณภาพ #ป้ายโฆษณา #DigitalPrint 🚀

Share the Post: