เจาะลึกเทรนด์ In-store Media 2024 มีอะไรใหม่ที่ต้องจับตามอง?

In-store Media 2024

ในยุคที่โลกดิจิทัลเข้ามามีบทบาทในชีวิตประจำวันของเราอย่างเต็มตัว การตลาดออนไลน์ดูเหมือนจะเป็นเวทีหลักที่หลายแบรนด์ให้ความสนใจและทุ่มงบประมาณอย่างมหาศาล แต่ถึงอย่างนั้น ประสบการณ์การซื้อขายในร้านค้าจริงก็ยังคงเป็นหัวใจสำคัญที่ไม่สามารถถูกแทนที่ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อผู้บริโภคยุคใหม่ไม่ได้ต้องการแค่สินค้าที่ดี แต่ยังมองหาประสบการณ์ที่น่าประทับใจและความรู้สึกที่ได้เชื่อมโยงกับแบรนด์อย่างแท้จริง วันนี้เราเลยจะมา เจาะลึกเทรนด์ In-store Media 2024 มีอะไรใหม่ที่ต้องจับตามอง

สิ่งที่จะมาเติมเต็มช่องว่างระหว่างโลกออนไลน์และออฟไลน์ให้ไร้รอยต่อก็คือ “In-store Media” หรือสื่อในร้านค้า ซึ่งไม่ใช่แค่ป้ายโฆษณาแบบเดิมๆ อีกต่อไป ในปี 2024 นี้ เราได้เห็นการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญที่ In-store Media กลายเป็นเครื่องมือทรงพลังที่เข้ามาช่วยยกระดับประสบการณ์ในร้านค้า สร้างปฏิสัมพันธ์กับลูกค้า และขับเคลื่อนยอดขายได้อย่างน่าทึ่ง

วันนี้เราจะมาเจาะลึกถึงเทรนด์ In-store Media ที่กำลังมาแรงในปี 2024 และสิ่งที่นักการตลาดหรือเจ้าของธุรกิจไม่ควรพลาดที่จะจับตามอง เพื่อให้ร้านค้าของคุณไม่ได้เป็นแค่สถานที่ขายของ แต่กลายเป็นจุดหมายปลายทางที่ลูกค้าอยากเข้ามาใช้เวลาและรู้สึกประทับใจอย่างแท้จริง

สื่อในร้านค้าแบบเดิมๆ กำลังจะถูกแทนที่ด้วย “ประสบการณ์”

ในอดีต In-store Media มักจะอยู่ในรูปแบบของสื่อสิ่งพิมพ์ทั่วไป เช่น โปสเตอร์, ป้าย, หรือสแตนดี้ ที่มีหน้าที่หลักในการให้ข้อมูลสินค้าหรือโปรโมชั่น แต่ในปัจจุบัน บทบาทของมันได้เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง จากการเป็นแค่สื่อที่ให้ข้อมูล กลายเป็นสื่อที่สร้างประสบการณ์ และกลายเป็นส่วนหนึ่งของบรรยากาศในร้านค้าอย่างแนบเนียน

ผู้บริโภคยุคนี้มีความคาดหวังสูงขึ้น พวกเขาต้องการความแปลกใหม่ ความน่าสนใจ และความรู้สึกว่าตัวเองเป็นส่วนหนึ่งของแบรนด์ ดังนั้นการทำ In-store Media ในปี 2024 จึงไม่ได้มุ่งแค่การขาย แต่เป็นการสร้างเรื่องราวและการเชื่อมโยงทางอารมณ์กับลูกค้า

1. การผสานเทคโนโลยีเข้ากับประสบการณ์ในร้านค้า: จาก Digital Signage สู่ Interactive Experience

ป้ายดิจิทัล หรือ Digital Signage ไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่ในปีนี้มันถูกยกระดับขึ้นไปอีกขั้น จากเดิมที่เป็นแค่จอภาพที่แสดงผลโฆษณาซ้ำๆ มันได้กลายเป็นเครื่องมือที่สามารถ สร้างปฏิสัมพันธ์ (Interactive) กับลูกค้าได้โดยตรง

  • Smart Mirror: กระจกอัจฉริยะที่ไม่ได้สะท้อนแค่ภาพลูกค้า แต่ยังสามารถแสดงข้อมูลสินค้า, แนะนำชุดที่เข้ากัน, หรือแม้แต่ให้ลูกค้า “ลอง” สินค้าด้วยเทคโนโลยี AR (Augmented Reality) โดยไม่ต้องหยิบจับสินค้าจริง
  • Interactive Kiosk: ตู้คีออสที่ให้ลูกค้าสามารถค้นหาสินค้า, ตรวจสอบสต็อก, สั่งซื้อสินค้า, หรือแม้แต่เล่นเกมเพื่อรับส่วนลด ทำให้ลูกค้าได้รับข้อมูลที่ต้องการอย่างรวดเร็วและสนุกสนาน
  • Motion Sensor Display: จอดิจิทัลที่สามารถตรวจจับการเคลื่อนไหวของลูกค้า และเปลี่ยนเนื้อหาที่แสดงผลให้สอดคล้องกับการเคลื่อนไหวเหล่านั้น เช่น เมื่อลูกค้าเดินผ่าน ป้ายก็จะแสดงผลโฆษณาสินค้าที่เกี่ยวข้องทันที

เทคโนโลยีเหล่านี้ทำให้ประสบการณ์ในร้านค้าไม่ได้เป็นแค่การเดินดูสินค้า แต่กลายเป็นกิจกรรมที่น่าสนใจ ทำให้ลูกค้าอยากใช้เวลาอยู่ในร้านนานขึ้น และยังช่วยให้แบรนด์เก็บข้อมูลพฤติกรรมลูกค้าเพื่อนำไปพัฒนาสินค้าและบริการในอนาคต

2. เสียง (Audio) กลายเป็นองค์ประกอบสำคัญที่มองข้ามไม่ได้

หากภาพคือสิ่งที่ดึงดูดสายตา เสียงคือสิ่งที่สร้างบรรยากาศ ในปี 2024 นี้ In-store Media ไม่ได้จำกัดอยู่แค่ภาพ แต่ยังรวมถึงสื่อเสียงที่ถูกออกแบบมาอย่างพิถีพิถันเพื่อเสริมสร้างประสบการณ์ในร้านค้าให้สมบูรณ์แบบ

  • Curated In-store Playlist: การเปิดเพลงที่เข้ากับแบรนด์ไม่ได้มีแค่การเปิดเพลงฮิตทั่วไป แต่เป็นการเลือกเพลงที่สะท้อนตัวตนของแบรนด์อย่างแท้จริง เช่น ร้านกาแฟที่มีบรรยากาศอบอุ่น อาจจะเปิดเพลงแจ๊สเบาๆ หรือร้านเสื้อผ้าแฟชั่นอาจจะเปิดเพลงอิเล็กทรอนิกส์ที่มีจังหวะสนุกสนาน
  • Podcast หรือ Audio Content เฉพาะของแบรนด์: บางแบรนด์อาจสร้าง Podcast สั้นๆ ที่ให้ความรู้หรือเรื่องราวเกี่ยวกับสินค้าของตัวเอง เพื่อให้ลูกค้าที่เดินดูสินค้าได้ฟังและเพลิดเพลินไปกับคอนเทนต์เหล่านั้น
  • Audio Signature: การใช้ “เสียง” ที่เป็นเอกลักษณ์ของแบรนด์ในบางช่วงเวลา เช่น เสียงกริ่งเมื่อลูกค้าเข้าร้าน หรือเสียงแจ้งเตือนโปรโมชั่นพิเศษ เพื่อสร้างการจดจำและกระตุ้นการตัดสินใจ

สื่อเสียงเหล่านี้จะช่วยสร้างบรรยากาศในร้านค้าให้แตกต่าง ทำให้ลูกค้ารู้สึกผ่อนคลาย, สนุกสนาน, หรือแม้กระทั่งรู้สึกได้รับแรงบันดาลใจ ซึ่งจะช่วยเพิ่มโอกาสในการซื้อสินค้าได้เป็นอย่างดี

3. Hyper-Personalization: การสื่อสารแบบ “รู้ใจ” ลูกค้าเฉพาะบุคคล

เทรนด์นี้คือการนำข้อมูลลูกค้ามาใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด ไม่ใช่แค่การสื่อสารกับลูกค้าแบบ “เหมา” ทั้งหมด แต่เป็นการปรับเปลี่ยนเนื้อหาให้เหมาะสมกับลูกค้าแต่ละคน

  • สื่อดิจิทัลที่ปรับเปลี่ยนได้ตามลูกค้า: เมื่อลูกค้าสมัครสมาชิกและเชื่อมต่อกับแบรนด์ผ่านแอปพลิเคชันหรือ Wi-Fi ในร้าน สื่อดิจิทัลในร้านอาจจะสามารถแสดงผลข้อความต้อนรับที่เป็นชื่อลูกค้า, แสดงโปรโมชั่นที่ตรงกับความชอบ หรือแนะนำสินค้าที่เคยซื้อไปก่อนหน้า
  • Beacon Technology: การใช้เทคโนโลยี Beacon ที่ส่งสัญญาณบลูทูธไปยังสมาร์ทโฟนของลูกค้าที่เดินผ่าน เพื่อส่งข้อความหรือโปรโมชั่นพิเศษแบบเรียลไทม์ เช่น “ยินดีต้อนรับคุณ [ชื่อลูกค้า] รับส่วนลด 10% สำหรับสินค้าที่คุณเคยกดไลก์!”
  • RFID Tag: การใช้ RFID Tag ในสินค้าที่ทำให้เมื่อลูกค้านำสินค้ามาวางบนแท่นวาง ข้อมูลสินค้าทั้งหมดก็จะแสดงผลบนหน้าจอทันที ไม่ว่าจะเป็นราคา, รายละเอียด, วิดีโอแนะนำ, หรือรีวิวจากลูกค้าคนอื่นๆ

การสื่อสารแบบ Hyper-Personalization นี้จะทำให้ลูกค้ารู้สึกว่าแบรนด์ให้ความสำคัญกับพวกเขาอย่างแท้จริง และยังช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการขายได้อย่างตรงจุด

4. เชื่อมต่อโลกออนไลน์-ออฟไลน์อย่างไร้รอยต่อ (Seamless O2O)

ผู้บริโภคยุคนี้ไม่ได้แยกโลกออนไลน์กับออฟไลน์ออกจากกันอีกต่อไป พวกเขาอาจจะค้นหาสินค้าออนไลน์แล้วมาซื้อที่ร้าน หรือมาดูสินค้าจริงที่ร้านแล้วกลับไปซื้อออนไลน์ ดังนั้น In-store Media ที่ดีจึงต้องสามารถเชื่อมต่อสองโลกนี้เข้าด้วยกันได้อย่างราบรื่น

  • QR Code ที่เชื่อมไปสู่โลกดิจิทัล: การใช้ QR Code บนป้ายต่างๆ ที่ให้ลูกค้าสแกนเพื่อรับข้อมูลสินค้าเพิ่มเติม, อ่านรีวิว, ดูวิดีโอสาธิต, หรือสั่งซื้อสินค้าออนไลน์และให้ส่งถึงบ้าน
  • Click & Collect หรือ Ship from Store: การโปรโมทบริการที่ลูกค้าสามารถสั่งซื้อสินค้าออนไลน์แล้วมารับที่ร้าน (Click & Collect) หรือสั่งซื้อสินค้าที่ร้านแต่ให้ส่งถึงบ้าน (Ship from Store) ซึ่งช่วยอำนวยความสะดวกให้กับลูกค้าได้อย่างมาก
  • Virtual Try-on: การใช้เทคโนโลยี AR เพื่อให้ลูกค้าลองเสื้อผ้า, รองเท้า, หรือเครื่องสำอางเสมือนจริง โดยที่ลูกค้าสามารถแชร์ภาพไปยังโซเชียลมีเดียได้ทันที เป็นการสร้างการมีส่วนร่วมและกระตุ้นให้เกิดการซื้อ

การเชื่อมต่อโลกทั้งสองเข้าด้วยกันทำให้ประสบการณ์ของลูกค้าไม่ถูกขัดจังหวะ และยังช่วยให้แบรนด์สามารถเก็บข้อมูลลูกค้าได้จากทั้งสองช่องทางเพื่อนำมาวิเคราะห์และพัฒนาต่อไป

5. Sustainability & Eco-Friendly: สื่อในร้านค้าที่ใส่ใจโลก

กระแสความยั่งยืนเป็นสิ่งที่ไม่ควรมองข้าม ในปี 2024 นี้ผู้บริโภคให้ความสำคัญกับแบรนด์ที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อมมากขึ้น ดังนั้น In-store Media ก็ควรสะท้อนคุณค่านี้ออกมาด้วย

  • ป้ายสื่อสารที่ใช้วัสดุรีไซเคิล: การเลือกใช้วัสดุที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เช่น กระดาษรีไซเคิล, ไม้ที่มาจากป่าปลูก, หรือพลาสติกชีวภาพในการทำป้ายต่างๆ
  • Digital In-store Media: การหันมาใช้สื่อดิจิทัลมากขึ้นเพื่อลดการใช้กระดาษและลดปริมาณขยะจากการผลิตสื่อสิ่งพิมพ์
  • การเล่าเรื่องความยั่งยืนผ่านสื่อในร้านค้า: ใช้สื่อต่างๆ ในร้านค้าเพื่อบอกเล่าเรื่องราวของแบรนด์เกี่ยวกับความยั่งยืน เช่น ที่มาของวัตถุดิบ, กระบวนการผลิตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม, หรือกิจกรรมที่แบรนด์ทำเพื่อสังคม

การสื่อสารเรื่องความยั่งยืนผ่าน In-store Media จะช่วยสร้างภาพลักษณ์ที่ดีให้กับแบรนด์ และดึงดูดลูกค้าที่ให้ความสำคัญกับประเด็นนี้

เจาะลึกเทรนด์ In-store Media 2024: มีอะไรใหม่ที่ต้องจับตามอง?

ในยุคที่โลกดิจิทัลเข้ามามีบทบาทในชีวิตประจำวันของเราอย่างเต็มตัว การตลาดออนไลน์ดูเหมือนจะเป็นเวทีหลักที่หลายแบรนด์ให้ความสนใจและทุ่มงบประมาณอย่างมหาศาล แต่ถึงอย่างนั้น ประสบการณ์การซื้อขายในร้านค้าจริงก็ยังคงเป็นหัวใจสำคัญที่ไม่สามารถถูกแทนที่ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อผู้บริโภคยุคใหม่ไม่ได้ต้องการแค่สินค้าที่ดี แต่ยังมองหาประสบการณ์ที่น่าประทับใจและความรู้สึกที่ได้เชื่อมโยงกับแบรนด์อย่างแท้จริง

สิ่งที่จะมาเติมเต็มช่องว่างระหว่างโลกออนไลน์และออฟไลน์ให้ไร้รอยต่อก็คือ “In-store Media” หรือสื่อในร้านค้า ซึ่งไม่ใช่แค่ป้ายโฆษณาแบบเดิมๆ อีกต่อไป ในปี 2024 นี้ เราได้เห็นการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญที่ In-store Media กลายเป็นเครื่องมือทรงพลังที่เข้ามาช่วยยกระดับประสบการณ์ในร้านค้า สร้างปฏิสัมพันธ์กับลูกค้า และขับเคลื่อนยอดขายได้อย่างน่าทึ่ง

วันนี้เราจะมาเจาะลึกถึงเทรนด์ In-store Media ที่กำลังมาแรงในปี 2024 และสิ่งที่นักการตลาดหรือเจ้าของธุรกิจไม่ควรพลาดที่จะจับตามอง เพื่อให้ร้านค้าของคุณไม่ได้เป็นแค่สถานที่ขายของ แต่กลายเป็นจุดหมายปลายทางที่ลูกค้าอยากเข้ามาใช้เวลาและรู้สึกประทับใจอย่างแท้จริง

สื่อในร้านค้าแบบเดิมๆ กำลังจะถูกแทนที่ด้วย “ประสบการณ์”

ในอดีต In-store Media มักจะอยู่ในรูปแบบของสื่อสิ่งพิมพ์ทั่วไป เช่น โปสเตอร์, ป้าย, หรือสแตนดี้ ที่มีหน้าที่หลักในการให้ข้อมูลสินค้าหรือโปรโมชั่น แต่ในปัจจุบัน บทบาทของมันได้เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง จากการเป็นแค่สื่อที่ให้ข้อมูล กลายเป็นสื่อที่สร้างประสบการณ์ และกลายเป็นส่วนหนึ่งของบรรยากาศในร้านค้าอย่างแนบเนียน

ผู้บริโภคยุคนี้มีความคาดหวังสูงขึ้น พวกเขาต้องการความแปลกใหม่ ความน่าสนใจ และความรู้สึกว่าตัวเองเป็นส่วนหนึ่งของแบรนด์ ดังนั้นการทำ In-store Media ในปี 2024 จึงไม่ได้มุ่งแค่การขาย แต่เป็นการสร้างเรื่องราวและการเชื่อมโยงทางอารมณ์กับลูกค้า

1. การผสานเทคโนโลยีเข้ากับประสบการณ์ในร้านค้า: จาก Digital Signage สู่ Interactive Experience

ป้ายดิจิทัล หรือ Digital Signage ไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่ในปีนี้มันถูกยกระดับขึ้นไปอีกขั้น จากเดิมที่เป็นแค่จอภาพที่แสดงผลโฆษณาซ้ำๆ มันได้กลายเป็นเครื่องมือที่สามารถ สร้างปฏิสัมพันธ์ (Interactive) กับลูกค้าได้โดยตรง

  • Smart Mirror: กระจกอัจฉริยะที่ไม่ได้สะท้อนแค่ภาพลูกค้า แต่ยังสามารถแสดงข้อมูลสินค้า, แนะนำชุดที่เข้ากัน, หรือแม้แต่ให้ลูกค้า “ลอง” สินค้าด้วยเทคโนโลยี AR (Augmented Reality) โดยไม่ต้องหยิบจับสินค้าจริง
  • Interactive Kiosk: ตู้คีออสที่ให้ลูกค้าสามารถค้นหาสินค้า, ตรวจสอบสต็อก, สั่งซื้อสินค้า, หรือแม้แต่เล่นเกมเพื่อรับส่วนลด ทำให้ลูกค้าได้รับข้อมูลที่ต้องการอย่างรวดเร็วและสนุกสนาน
  • Motion Sensor Display: จอดิจิทัลที่สามารถตรวจจับการเคลื่อนไหวของลูกค้า และเปลี่ยนเนื้อหาที่แสดงผลให้สอดคล้องกับการเคลื่อนไหวเหล่านั้น เช่น เมื่อลูกค้าเดินผ่าน ป้ายก็จะแสดงผลโฆษณาสินค้าที่เกี่ยวข้องทันที

เทคโนโลยีเหล่านี้ทำให้ประสบการณ์ในร้านค้าไม่ได้เป็นแค่การเดินดูสินค้า แต่กลายเป็นกิจกรรมที่น่าสนใจ ทำให้ลูกค้าอยากใช้เวลาอยู่ในร้านนานขึ้น และยังช่วยให้แบรนด์เก็บข้อมูลพฤติกรรมลูกค้าเพื่อนำไปพัฒนาสินค้าและบริการในอนาคต

2. เสียง (Audio) กลายเป็นองค์ประกอบสำคัญที่มองข้ามไม่ได้

หากภาพคือสิ่งที่ดึงดูดสายตา เสียงคือสิ่งที่สร้างบรรยากาศ ในปี 2024 นี้ In-store Media ไม่ได้จำกัดอยู่แค่ภาพ แต่ยังรวมถึงสื่อเสียงที่ถูกออกแบบมาอย่างพิถีพิถันเพื่อเสริมสร้างประสบการณ์ในร้านค้าให้สมบูรณ์แบบ

  • Curated In-store Playlist: การเปิดเพลงที่เข้ากับแบรนด์ไม่ได้มีแค่การเปิดเพลงฮิตทั่วไป แต่เป็นการเลือกเพลงที่สะท้อนตัวตนของแบรนด์อย่างแท้จริง เช่น ร้านกาแฟที่มีบรรยากาศอบอุ่น อาจจะเปิดเพลงแจ๊สเบาๆ หรือร้านเสื้อผ้าแฟชั่นอาจจะเปิดเพลงอิเล็กทรอนิกส์ที่มีจังหวะสนุกสนาน
  • Podcast หรือ Audio Content เฉพาะของแบรนด์: บางแบรนด์อาจสร้าง Podcast สั้นๆ ที่ให้ความรู้หรือเรื่องราวเกี่ยวกับสินค้าของตัวเอง เพื่อให้ลูกค้าที่เดินดูสินค้าได้ฟังและเพลิดเพลินไปกับคอนเทนต์เหล่านั้น
  • Audio Signature: การใช้ “เสียง” ที่เป็นเอกลักษณ์ของแบรนด์ในบางช่วงเวลา เช่น เสียงกริ่งเมื่อลูกค้าเข้าร้าน หรือเสียงแจ้งเตือนโปรโมชั่นพิเศษ เพื่อสร้างการจดจำและกระตุ้นการตัดสินใจ

สื่อเสียงเหล่านี้จะช่วยสร้างบรรยากาศในร้านค้าให้แตกต่าง ทำให้ลูกค้ารู้สึกผ่อนคลาย, สนุกสนาน, หรือแม้กระทั่งรู้สึกได้รับแรงบันดาลใจ ซึ่งจะช่วยเพิ่มโอกาสในการซื้อสินค้าได้เป็นอย่างดี

3. Hyper-Personalization: การสื่อสารแบบ “รู้ใจ” ลูกค้าเฉพาะบุคคล

เทรนด์นี้คือการนำข้อมูลลูกค้ามาใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด ไม่ใช่แค่การสื่อสารกับลูกค้าแบบ “เหมา” ทั้งหมด แต่เป็นการปรับเปลี่ยนเนื้อหาให้เหมาะสมกับลูกค้าแต่ละคน

  • สื่อดิจิทัลที่ปรับเปลี่ยนได้ตามลูกค้า: เมื่อลูกค้าสมัครสมาชิกและเชื่อมต่อกับแบรนด์ผ่านแอปพลิเคชันหรือ Wi-Fi ในร้าน สื่อดิจิทัลในร้านอาจจะสามารถแสดงผลข้อความต้อนรับที่เป็นชื่อลูกค้า, แสดงโปรโมชั่นที่ตรงกับความชอบ หรือแนะนำสินค้าที่เคยซื้อไปก่อนหน้า
  • Beacon Technology: การใช้เทคโนโลยี Beacon ที่ส่งสัญญาณบลูทูธไปยังสมาร์ทโฟนของลูกค้าที่เดินผ่าน เพื่อส่งข้อความหรือโปรโมชั่นพิเศษแบบเรียลไทม์ เช่น “ยินดีต้อนรับคุณ [ชื่อลูกค้า] รับส่วนลด 10% สำหรับสินค้าที่คุณเคยกดไลก์!”
  • RFID Tag: การใช้ RFID Tag ในสินค้าที่ทำให้เมื่อลูกค้านำสินค้ามาวางบนแท่นวาง ข้อมูลสินค้าทั้งหมดก็จะแสดงผลบนหน้าจอทันที ไม่ว่าจะเป็นราคา, รายละเอียด, วิดีโอแนะนำ, หรือรีวิวจากลูกค้าคนอื่นๆ

การสื่อสารแบบ Hyper-Personalization นี้จะทำให้ลูกค้ารู้สึกว่าแบรนด์ให้ความสำคัญกับพวกเขาอย่างแท้จริง และยังช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการขายได้อย่างตรงจุด

4. เชื่อมต่อโลกออนไลน์-ออฟไลน์อย่างไร้รอยต่อ (Seamless O2O)

ผู้บริโภคยุคนี้ไม่ได้แยกโลกออนไลน์กับออฟไลน์ออกจากกันอีกต่อไป พวกเขาอาจจะค้นหาสินค้าออนไลน์แล้วมาซื้อที่ร้าน หรือมาดูสินค้าจริงที่ร้านแล้วกลับไปซื้อออนไลน์ ดังนั้น In-store Media ที่ดีจึงต้องสามารถเชื่อมต่อสองโลกนี้เข้าด้วยกันได้อย่างราบรื่น

  • QR Code ที่เชื่อมไปสู่โลกดิจิทัล: การใช้ QR Code บนป้ายต่างๆ ที่ให้ลูกค้าสแกนเพื่อรับข้อมูลสินค้าเพิ่มเติม, อ่านรีวิว, ดูวิดีโอสาธิต, หรือสั่งซื้อสินค้าออนไลน์และให้ส่งถึงบ้าน
  • Click & Collect หรือ Ship from Store: การโปรโมทบริการที่ลูกค้าสามารถสั่งซื้อสินค้าออนไลน์แล้วมารับที่ร้าน (Click & Collect) หรือสั่งซื้อสินค้าที่ร้านแต่ให้ส่งถึงบ้าน (Ship from Store) ซึ่งช่วยอำนวยความสะดวกให้กับลูกค้าได้อย่างมาก
  • Virtual Try-on: การใช้เทคโนโลยี AR เพื่อให้ลูกค้าลองเสื้อผ้า, รองเท้า, หรือเครื่องสำอางเสมือนจริง โดยที่ลูกค้าสามารถแชร์ภาพไปยังโซเชียลมีเดียได้ทันที เป็นการสร้างการมีส่วนร่วมและกระตุ้นให้เกิดการซื้อ

การเชื่อมต่อโลกทั้งสองเข้าด้วยกันทำให้ประสบการณ์ของลูกค้าไม่ถูกขัดจังหวะ และยังช่วยให้แบรนด์สามารถเก็บข้อมูลลูกค้าได้จากทั้งสองช่องทางเพื่อนำมาวิเคราะห์และพัฒนาต่อไป

5. Sustainability & Eco-Friendly: สื่อในร้านค้าที่ใส่ใจโลก

กระแสความยั่งยืนเป็นสิ่งที่ไม่ควรมองข้าม ในปี 2024 นี้ผู้บริโภคให้ความสำคัญกับแบรนด์ที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อมมากขึ้น ดังนั้น In-store Media ก็ควรสะท้อนคุณค่านี้ออกมาด้วย

  • ป้ายสื่อสารที่ใช้วัสดุรีไซเคิล: การเลือกใช้วัสดุที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เช่น กระดาษรีไซเคิล, ไม้ที่มาจากป่าปลูก, หรือพลาสติกชีวภาพในการทำป้ายต่างๆ
  • Digital In-store Media: การหันมาใช้สื่อดิจิทัลมากขึ้นเพื่อลดการใช้กระดาษและลดปริมาณขยะจากการผลิตสื่อสิ่งพิมพ์
  • การเล่าเรื่องความยั่งยืนผ่านสื่อในร้านค้า: ใช้สื่อต่างๆ ในร้านค้าเพื่อบอกเล่าเรื่องราวของแบรนด์เกี่ยวกับความยั่งยืน เช่น ที่มาของวัตถุดิบ, กระบวนการผลิตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม, หรือกิจกรรมที่แบรนด์ทำเพื่อสังคม

การสื่อสารเรื่องความยั่งยืนผ่าน In-store Media จะช่วยสร้างภาพลักษณ์ที่ดีให้กับแบรนด์ และดึงดูดลูกค้าที่ให้ความสำคัญกับประเด็นนี้

สรุป: In-store Media ในปี 2024 ไม่ใช่แค่ “ป้าย” แต่คือ “หัวใจ” ของธุรกิจ

จากที่กล่าวมาทั้งหมดจะเห็นได้ว่า In-store Media ในปี 2024 ได้พัฒนาไปไกลกว่าที่เราเคยรู้จัก มันไม่ใช่แค่สื่อที่ให้ข้อมูล แต่เป็นเครื่องมือเชิงกลยุทธ์ที่สามารถ สร้างประสบการณ์, สร้างปฏิสัมพันธ์, และสร้างความสัมพันธ์ กับลูกค้าได้อย่างลึกซึ้ง

การลงทุนใน In-store Media ที่ใช่และเหมาะสมกับแบรนด์ จะช่วยให้ร้านค้าของคุณไม่ได้เป็นแค่สถานที่ขายของ แต่กลายเป็นพื้นที่ที่ลูกค้าอยากเข้ามาใช้เวลา, อยากมีส่วนร่วม, และอยากกลับมาซ้ำแล้วซ้ำอีก

ถึงเวลาแล้วที่ธุรกิจต่างๆ จะต้องหันมาให้ความสำคัญกับ In-store Media อย่างจริงจัง และปรับตัวให้เข้ากับเทรนด์ใหม่ๆ ที่กำลังจะเข้ามา เพื่อสร้างความแตกต่างและยืนหนึ่งในใจของลูกค้าอย่างยั่งยืน หากคุณยังคงใช้แค่ป้ายแบบเดิมๆ ที่ไม่สามารถสร้างความประทับใจได้ โอกาสทางธุรกิจของคุณก็อาจจะหลุดลอยไปอย่างน่าเสียดาย

ลองสำรวจร้านค้าของคุณดูว่ามีจุดไหนบ้างที่สามารถนำเทรนด์เหล่านี้ไปปรับใช้ได้ ไม่ว่าจะเป็นการนำเทคโนโลยีมาใช้, การออกแบบสื่อเสียงให้เข้ากับแบรนด์, การสื่อสารแบบเฉพาะบุคคล, การเชื่อมต่อโลกออนไลน์-ออฟไลน์, หรือการใส่ใจเรื่องความยั่งยืน ทั้งหมดนี้คือสิ่งที่นักการตลาดและเจ้าของธุรกิจต้องจับตามองในปีนี้ และลงมือทำเพื่อยกระดับธุรกิจของคุณให้เหนือกว่าคู่แข่งอย่างแท้จริงครับ

👉 Pim24.com – ครบวงจรตั้งแต่ออกแบบ พิมพ์ และจัดส่ง มีทีมให้คำแนะนำด้านไฟล์และขนาดอย่างใกล้ชิด

Print Your Vision with A Print
งานพิมพ์ระดับพรีเมียม คมชัด สีสด ทนทาน ไม่ว่าจะเป็น บรรจุภัณฑ์, ป้ายโฆษณา, นามบัตร, โบรชัวร์ หรือสื่อสิ่งพิมพ์ทุกรูปแบบ เราพร้อมดูแลคุณด้วยบริการที่รวดเร็วและได้มาตรฐาน

📌 สนใจบริการพิมพ์คุณภาพสูงติดต่อ Aprint
📞 ติดต่อเราได้ที่ 02 320 2080
📧 Line : https://line.me/R/ti/p/@499xgedn
💻 ดูรายละเอียดเพิ่มเติมที่ aprint.co.th

#Aprint #พิมพ์ดิจิทัล #พิมพ์บรรจุภัณฑ์ #งานพิมพ์คุณภาพ #ป้ายโฆษณา #DigitalPrint 🚀#สติกเกอร์ติดตึก

Previous

Share the Post: